บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566
โดยมีรายได้รวม (Total Revenue) อยู่ที่ 30,674 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จาก 24,275 ล้านบาท
ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) สำหรับไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 4,203
ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% จาก 2,167 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
การเติบโตดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ
เนื่องจากโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่ม IPD ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยที่
1 กำลังการผลิตติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ประกอบกับโรงไฟฟ้า SPP 12
โครงการภายใต้กลุ่ม GMP และโรงไฟฟ้า SPP 7 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP
มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากการขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม
เนื่องจากราคาค่าก๊าซเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลง โดยราคาค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 579.13
บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 3/2565 เป็น 363.24 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้ ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก
0.48 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/2565 เป็น 0.68 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/2566 นอกจากนี้
โครงการโรงไฟฟ้า IPP ได้แก่ โรงไฟฟ้า IPP ได้แก่ โรงไฟฟ้าหนองแซง (GNS) โรงไฟฟ้าอุทัย (GUT)
และโรงไฟฟ้าศรีราชา (GSRC) มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เพิ่มขึ้น
โดยโรงไฟฟ้า GNS และ GUT ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่ม GJP มี Load Factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 8% ในไตรมาส
3/2565 เป็น 21% ในไตรมาส 3/2566 ในขณะที่โรงไฟฟ้า GSRC ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่ม IPD มี Load Factor
เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 21% ในไตรมาส 3/2565 เป็น 79% ในไตรมาส 3/2566 นอกจากนี้
กลุ่มโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในต่างประเทศยังมีผลประกอบการที่ดีขึ้น เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้า DIPWP
ในประเทศโอมาน ได้มีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้นจาก 52 เมกะวัตต์ ในไตรมาส 3/2565 เป็น 326
เมกะวัตต์ ตั้งแต่ต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ GULF สามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จำนวน 174
ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 306% YoY และรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation
ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 150 ล้านบาทในไตรมาส 3/2566 โดย GULF
ได้เข้าลงทุนในโครงการดังกล่าวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา
ในส่วนของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ในไตรมาส 3/2566 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit
จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation จำนวน 235 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น
205% YoY จากความเร็วลมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจาก 4.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 3/2565 เป็น 5.5 เมตร/วินาที
ในไตรมาสนี้ อย่างไรก็ดี
ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกชดเชยบางส่วนจากส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Borkum
Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี เนื่องจาก GULF ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการนี้จาก 50.00% เหลือ
24.99% โดยจำหน่ายหุ้นในสัดส่วน 25.01% ให้กับ Keppel Group ในเดือนธันวาคม 2565
นอกจากนี้ ในไตรมาส 3/2566 GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก PTTNGD จำนวน 259 ล้านบาท
ซึ่งพลิกจากขาดทุน 221 ล้านบาทในไตรมาส 3/2565
โดยมีสาเหตุมาจากอัตรากำไรขั้นต้นต่อหน่วยที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันเตาที่สูงขึ้นและค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลงในไตรมาสนี้
ซึ่งรายได้ของโครงการดังกล่าวจะผูกกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาค่าก๊าซธรรมชาติ
นอกจากนี้ บริษัทยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit
จากโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว (Thai Tank Terminal) จำนวน 65 ล้านบาท
ในไตรมาสนี้ โดย GULF ได้เข้าลงทุนในโครงการดังกล่าวเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ในส่วนของการลงทุนใน INTUCH นั้น
บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จำนวน 1,527 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2566 หรือเพิ่มขึ้น 37% YoY
จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ AIS และกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนทั้งหมดในสัดส่วน 33.33% ในบริษัท
แรบบิท-ไลน์เพย์ จำกัด
ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
(EBITDA) ในไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 9,364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบกับ 6,660 ล้านบาทในไตรมาส 3/2565
และกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 3/2566 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ
3,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 209% จาก 1,087 ล้านบาทในไตรมาส 3/2565
ซึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจาก 35.75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 เป็น
36.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 3/2566 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว
เป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด
ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 GULF มีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 476,710 ล้านบาท
หนี้สินรวมเท่ากับ 332,454 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 144,256 ล้านบาท
โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity)
เท่ากับ 1.70 เท่า ลดลงจาก 1.76 เท่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566
ซึ่งการลดลงดังกล่าวมาจากส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF
เปิดเผยว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/2566 คาดว่ายังคงเติบโตตามเป้า
แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกันยายน - เดือนธันวาคม 2566 ลงมาอยู่ที่ 3.99
บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดย ณ อัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าว กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ของ GULF
ยังสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีกว่าในปี 2565 เนื่องจากราคาก๊าซเฉลี่ยทั้งปีในปี 2566 ต่ำกว่าปี 2565 และค่า
Ft เฉลี่ยปี 2566 ที่สูงกว่าในปี 2565 อีกทั้ง สัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมมีเพียง 8%
ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมด GULF จึงไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 2566
โครงการต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปตามแผน โดยโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 2
ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 662.5 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม
2566 ในขณะที่ โครงการ Solar Rooftop ภายใต้ GULF1 มีแผนที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ให้ครบ 150 - 180
เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้ ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ที่ประเทศเยอรมนีได้ก้าวเข้าสู่ช่วง High
Season ในไตรมาส 4 นอกจากนี้ แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้โครงการ Jackson
Generation ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกามีผลกำไรที่ดีขึ้น
สำหรับธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยภายใต้ Gulf Binance นั้น
มีกำหนดเปิดให้บริการภายในเดือนพฤศจิกายน 2566 ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะผลักดันให้กำไรของกลุ่ม GULF
ในปี 2566 เป็นไปตามเป้าหมาย
GULF ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
จึงได้มีการตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดภายในปี
2578 โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา GULF ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปี
เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farms)
และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Solar Farms With Battery Energy
Storage Systems) จำนวนรวม 12 โครงการ มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 649 เมกะวัตต์
โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2567 – 2568 นอกจากนี้ GULF
ยังได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นเวลา 20 ปี
เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมจำนวน 2 โครงการ มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 16 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2
โครงการมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2569 หลังจากนี้ GULF
คาดว่าจะทยอยลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนที่กลุ่ม GULF
ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินโครงการจากการประมูลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อีกมากกว่า 700
เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ GULF
ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) จำนวน 3 โครงการ
ได้แก่โครงการหลวงพระบาง โครงการปากลาย และโครงการปากแบ่ง มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 3,142 เมกะวัตต์
โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2573 ปี 2575 และปี 2576 ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 3
โครงการจะผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งหมดให้แก่ กฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 29 - 35 ปี ทั้งนี้ GULF
เชื่อมั่นว่าแนวทางการดำเนินงานอย่างยั่งยืนของบริษัทและการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องจะสามารถทำให้บริษัทลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในระยะยาว